Sunday, May 31, 2015

การยกเลิกเพิกถอนหนังสือเดินทาง หรือ Passport ทำได้โดยชอบด้วยกฏหมายระหว่างประเทศหรือไม่? (ตอนที่ ๑)

Thanaboon Chiranuvat
ปํญหาของการไม่ให้หนังสือเดินทาง หรือ Passport = การยกเลิกเพิกถอนหนังสือเดินทาง หรือ Passport ทำได้โดยชอบด้วยกฏหมายระหว่างประเทศหรือไม่? (ตอนที่ ๑)
ขณะนี้ได้เกิดคำถามตัวโตๆขึ้น ท่ามกลางจิตใจของคนไทยโดยทั่วไปว่า: “การทำการเพิกถอน หนังสือเดินทาง (Passport) ของคนไทย ผู้ถือหนังสือเดินทาง [barer of passport] ที่ออกโดยรัฐบาลไทย [Thai Government]) ที่ถือกำเหนิดเกิดมาโดยพ่อแม่ที่มีสัญชาติไทย (เป็นคนไทยและได้สัญชาติไทยโดยสายเลือด) และการได้สัญชาติโดยหลักดินแดน (The Nationality conferred by the Territorial Rights) จะกระทำได้โดยชอบด้วยกฏหมายหรือไม่?”

การจะตอบคำถามข้อนี้ ก่อนอื่นท่านมีความจำเป็นต้องหารือกับคำว่า “กฏหมาย” ให้ดีเสียก่อนว่า ถ้อยคำๆนี้ หาได้หมายรวมถึง กฏหมายภายในของประเทศไทย แต่อย่างใดไม่ เพราะในประวัติศาสตร์ของไทยไม่เคยมีการบันทึกเรื่องราวของ การมีและใช้หนังสือเดินทาง แม้ว่าไทยหรือสยาม จะเคยติดต่อสัมพันธ์ทางการฑูตกับต่างประเทศ มาแต่สมัยสุโขทัย จนมาถึงกรุงศรีอยุธยา (ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ที่ส่งราชฑูตจากราชสำนักไทยไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศฝรั่งเศสก็ตาม ประเทศไทยหรือสยาม เพิ่งจะมามีการติดต่อค้าขายกับนานาประเทศอย่างชุก ก็ในยุคการล่าอาณานิคม (Colonialism) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา แม้กระนั้นก็ไม่มีการบันทึกเรื่องราวถึง “หนังสือเดินทาง หรือ Passport” แต่อย่างใด
คนไทยที่ได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับกฏบัตร กฏหมายเริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ก็ไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนกฏหมายเน้นหนักไปที่ความสำคัญเกี่ยวกับ หนังสือเดินทาง หรือ Passport แต่อย่างใด ทั้งที่ในเวลานั้นเรามีเรื่องของกงศุล และศาลกงศุล หรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่า “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือ Extra-Territorial Rights” เข้ามาเกี่ยวข้องผูกพันเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ เป็นประจำวันของคนไทยในสมัยนั้นแล้วก็ตาม
ในขณะเดียวกันกับประเทศในยุโรปผู้ล่าเมืองขึ้น กลับมีความเจนจัดและช่ำชองเกี่ยวกับเรื่องกฏหมายกงศุล (Consular Law or Consular Relations) กฏหมายที่เกี่ยวกับวิถีปฏิบัติในทางการฑูต (Diplomatic Relations) กฏหมายระหว่างประเทศ (Law of Nations or Classical International Law) กฏหมายทะเล (Law of the Sea)ไม่ว่าจะเป็นชาวดัชท์, อังกฤษ, ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ชาวเสปญฯ เป็นต้น แต่คนไทย หรือคนในสยามประเทศ ก็ไม่สนใจในเรื่องที่กล่าวมานี้ วันนี้คนไทยที่เป็นคนส่วนใหญ่ จึงมีความเข้าใจไขว้เขวเกี่ยวกับ คำว่า “กฏหมาย” โดยคิดไปว่า จำเป็นต้องพิจารณาว่า “กฏหมายของไทย” เท่านั้นที่มีความสำคัญที่สุด


คนไทยไม่จำต้องไปพิจารณาโดยคำนึงถึงคำว่า “ กฏหมายระหว่างประเทศ หรือ Law of Nations or International Law ” เลย เพราะฉะนั้นคนไทยในทุกวันนี้ เป็นส่วนใหญ่ จึงตกอยู่ในภวังค์ หรือ ความคิดที่เรียกว่า “โง่ดักดาน” ทั้งๆที่โลกวันนี้ได้ผ่านห้วงเวลาของ “Y to K” หรือผ่านห้วงเวลาของ Millennium มาแล้ว พูดกันแบบง่ายๆ ผ่านค.ศ. ๒๐๐๐ มาแล้วแบบฉลุย และประเทศของเราเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติมาไม่ต่ำกว่า ๗๐ ปี แต่คนไทยก็ยังไม่รู้ซึ้งถึงผลของการไม่ยอมเรียนรู้ และขาดสำนึกกับการไม่ยอมรับว่า กับคำว่า “กฏหมาย” นั้นไม่รวมถึง “กฏหมายภายใน” ของประเทศไทยอย่างเดียว

แต่ตามความเป็นจริงนั้นให้หมายรวมไปถึง “กฏหมายระหว่างประเทศ หรือ International Law”หรือ Law of Nationsไปด้วย และการกระทำใด อันจะชอบ ด้วยครรลองของกฏหมาย สิ่งที่ต้องพิจารณาในลำดับแรกๆ ก็คือ “ความชอบด้วยกฏหมายระหว่างประเทศ” หรือไม่? มิฉะนั้นเรา ก็จะมองหาช่องทางให้หลุดรอดออกไปจาก ความวุ่นวาย (Chaos) ที่เราประสบอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ได้ ถ้าเรา ยังมะงุมมะงาหรากับ การเที่ยวไปตีความคำว่า “กฏหมาย” เป็นแค่เพียง “กฏหมายภายในของไทย”เท่านั้น ในรูปแบบนักกฏหมายในโครงร่างของ “ศรีธนญชัย” ที่ล้าสมัย ต้องถามใจท่านให้ชัดเจนว่า “โลกในวันนี้คือโลกในยุคค.ศ. ๒๐๐๐”
เราไม่อยู่ในห้วงเวลา ที่นับว่า เป็นตอนต้นของคริตศตวรรษที่ ๑๗ คือหลังค.ศ. ๑๖๕๐ เรื่อยมาแล้ว เพราะในวันนั้น ต้องถือว่าโลกยังป่าเถื่อนอยู่ มีการใช้ “กฏโจร” แทนที่ “กฏหมาย”อยู่มาก มิฉะนั้นไม่เกิดสงครามครูเสด และสงครามโลกทั้งสองครั้งอุบัติขึ้นในโลกใบนี้ ซึ่งไม่นับรวมถึง สงครามอื่นๆอีกหลายสิบครั้งบนพื้นแผ่นดินของยุโรป

กล่าวโดยสรุปคำว่า “กฏหมาย” ย่อมหมายถึง “กฏหมายระหว่างประเทศ หรือ International Law หรือ Law of Nations” เป็นลำดับแรก ตามความในลำดับต่อๆไป ในบทความนี้ จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง คำว่า “กฏหมายภายในของไทย” หาก จะมีการนำมาใช้ปรับได้ ก็ต่อเมื่อ “กฏหมายภายในของไทยนั้น ได้อภิวัฒน์ตามกฏหมายระหว่างประเทศจนทันแก่กาลสมัย” แล้วเท่านั้น.

๑. การขอมีหนังสือเดินทาง หรือ Passport เป็น สิทธิของพลเมือง (The Application to have the passport is the right of any citizen) ที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นพลเมือง (It is borne out of the citizenship) ผู้ใดจะปฏิเสธเสียมิได้ (Nobody is entitled to negate or abridge such right).
ก่อนที่จะเข้าสู่การอธิบายในหัวเรื่องนี้ เห็นควรเน้นย้ำว่าสนธิสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงศุล ปีค.ศ.๑๙๖๓{The Vienna Convention on Consular Relations, 1963 Article 5 in accordance with Article 36 (1), (2) and (3)} บทบัญญัติที่ ๕ (d) ประกอบด้วยบทบัญญัติที่ ๓๖ (๑), (๒) และ (๓) บัญญัติให้กงศุล หรือเจ้าหน้าที่กงศุล ต้องกระทำการทุกๆอย่างเพื่อเป็นการให้สิทธิแก่คนในชาติของตน และมิใช่กระทำการใดๆอันเป็นการทำลายสิทธิของคนในชาติของตน

การเพิกถอนสิทธิต่างๆในหนังสือเดินทาง (Passport) หรือ การยกเลิก เพิกถอนหนังสือเดินทาง (Passport) ล้วนเป็นไป เพื่อ เป็นการทำลายสิทธิ ของผู้ถือหนังสือเดินทาง (Bearer of the Passport) ทั้งสิ้น จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า ทำได้ หรือไม่? คำตอบก็คือทำไม่ได้โดยเด็ดขาด ซึ่งจะได้ยกตัวอย่างคดีมาให้ท่านผู้อ่านได้เห็น ได้อ่านกันทั้งสองคดี:
คดีหนึ่งพิพากษาโดยศาล Supreme Court ของสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ อีกคดีหนึ่งเป็นการตัดสินโดยศาลโลก หรือ The International Court of Justice, ICJ (แกนหลักที่ ๖ ขององค์การสหประชาชาติ) เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกงศุล
ศาลโลกตีความบทบัญญัติที่ ๕ (d) ว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของกงศุล ประกอบบทบัญญัติที่ ๓๖ (๑), (๒) และ (๓) ของสนธิสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงศุล ปีค.ศ. ๑๙๖๓ (The Vienna Convention on Consular Relations, 1963)
ทั้งนี้โดยศาลโลกได้ตีความโดยได้เน้นย้ำไป ที่อำนาจหน้าที่ของกงศุลกับคนในชาติของตนว่า กงศุลมีหน้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ให้แก่คนในชาติของตนในทุกสถานการณ์ และในบางสถานการณ์ เช่น คนในชาติของตน ถูกจับกุมคุมขัง อยู่ในระหว่างการดำเนินคดีในประเทศ ที่สถานกงศุลของตนตั้งอยู่ หรือแม้แต่คนในชาติของตน ถูกศาลยุติธรรมพิพากษาหรือ ตัดสินในคดีจนถึงที่สุด และมีการบังคับคดีในศาลแล้ว โดยศาล ที่ว่านั้นของประเทศที่สถานกงศุลตั้งอยู่ฯลฯ เป็นต้น กงศุลมีอำนาจหน้าที่ๆ ต้องปฏิบัติต่อคนในชาติของตนจนถึงที่สุด โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ (ให้ไปดูสนธิสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงศุล ปีค.ศ.๑๙๖๓ (The Vienna Convention on Consular Relations, 1963) ตามที่กล่าวมา
อนึ่งการที่บุคคลที่เป็นคนในชาติไปขอมีหนังสือเดินทาง (Passport) ไม่ว่าคนในชาติบุคคลคนนั้น จะเกิดการได้สัญชาติมา โดยหลักสายเลือด (พ่อแม่เป็นคนในชาติสมรสกันแล้ว ก่อเกิดบุคคลผู้นั้นออกมา) หรือบุคคลผู้นั้นเกิดหรือคลอดออกมาเป็นทารกและมีลมหายใจอยู่รอดในแผ่นดินที่ ตนคลอด อันเรียกว่าได้สัญชาติโดยหลักดินแดน (Acquiring the Nationality by Territorial Principles) หรือแม้แต่การได้สัญชาติของดินแดน ที่ตนอยู่อาศัยตามกฏหมาย ที่เรียกว่า “การได้สัญชาติโดยการโอนสัญชาติ” (Acquiring the Nationality by Naturalization) ก็ตาม และปรากฏว่าในเวลาต่อมารัฐ หรือ ชาติ (State or Nation) ปฏิเสธสิทธิที่จะได้มี หรือได้ครอบครองหนังสือเดินทาง (Passport) ของบุคคลในรัฐหรือชาตินั้น (State or Nation)

การที่รัฐผู้มีหน้าที่ต้องออกหนังสือเดินทาง (Passport) เพราะบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ถือสัญชาติของตน ปฏิเสธไม่ออกหนังสือเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดในทางสังคมหรือในทางการเมืองตามความเชื่อของผู้มีสิทธิ ที่จะได้หนังสือเดินทาง หรือบุคคลผู้นั้น ถูกยกเลิก เพิกถอนหนังสือเดินทาง (Passport) ที่อยู่ในความครอบครองของตน โดยรัฐ เจ้าของหนังสือเดินทาง ซึ่งเป็นการกระทำที่เสมอเหมือนกัน หรือเป็นอย่างเดียวกัน นั่นก็คือ การปฏิเสธไม่ให้บุคคลผู้นั้น มีหนังสือเดินทาง (Passport) ของรัฐหรือชาติ ที่บุคคลผู้นั้น ถือสัญชาติ และ สังกัดอยู่ และในที่สุดทำให้บุคคลผู้นั้น กลายเป็นบุคคลไร้รัฐ (Stateless Person)
การที่รัฐปฏิเสธ ไม่ให้หนังสือเดินทาง= ยกเลิกเพิกถอนหนังสือเดินทางของคนในรัฐ แก่คนที่ถือสัญชาติของรัฐ, การกระทำของรัฐ=ทำให้บุคคลนั้น กลายเป็นบุคคลไร้รัฐ (Stateless Person)
และในที่สุดทำให้บุคคลผู้นั้น กลายเป็นบุคคลไร้รัฐ (Stateless Person) ที่มีสนธิสัญญาว่าด้วย บุคคลไร้รัฐ ของสหประชาชาติ ที่ได้ประกาศ และ บังคับใช้เพื่อคุ้มครองบุคคลใดๆ ที่ตกอยู่ในสภาพการอย่างที่ว่านั้นอยู่ ซึ่งจะได้นำเสนอในตอนท้ายของบทความนี้ รวมทั้งสหประชาชาติ มีอำนาจออกหนังสือเดินทางเองโดยอำนาจขององค์การตัวเองเสียด้วยซ้ำไป ทั้งนี้ก็เพื่อจะปกป้องสิทธิ ที่เกิดมาตามธรรมชาติ (Natural Rights) ให้แก่มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ที่ยังมีลมหายใจอยู่บนพื้นพิภพนี้.............(มีต่อ)

คสช. และเครือข่ายพระราชาไทย กลัว ดร.ทักษิณ จนวิกลจริต????

ประยุทธ์ด่าคนรวยมหาศาล แต่ให้ประชาชน ยากจน มิน่า รีบกลับศิริราช ซะแทบไม่ทัน (ฮา)

คลิปลุงตู่ประกาศ! "ขี่เสือให้เป็นต้องฆ่าเสือก่อนลงจากหลัง"..ใครคือเสือมึงระวังตัวไว้เลยสาสสส อ๊บๆ!!...@กบท้ายซอย

Posted by เก๋จะตายThailand on Sunday, May 31, 2015

"เสี่ยสั่งลุยชวนคิดชวนคุย กับ ดร.เพียงดิน ตอน " ถล่มศักดินาใกล้ตาย อำมาต...







Download








วันนี้ต่อให้ไม่มีทักษิณ เขาก็ไม่รักเมิง: ทำไม ขบวนเจ้าไทย ฆ่า ความนิยม ในดร.ทักษิณ ไม่ได้?

เครดิต จากไลน์

เกือบ 10 ปีแล้ว
ที่ทักษิณไม่ได้อยู่ประเทศไทย
แต่คนไทยก็ไม่เคยลืมและยิ่งกว่านั้นคือศรัทธาเขามากขึ้น
ไม่ใช่เพราะชื่อทักษิณ ต่อให้ชื่อไอ้ประยุทธ อิสนธิ คนก็ศรัทธา
แต่เพราะผลงานของเขา
ทักษิณคือสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่กินได้ และตำแหน่งนายกฯที่เขาได้มาอย่างถูกต้องทำนองคลองธรรม ไม่ได้เอาปืนจ่อหัวประชาชนแล้วบอกว่าหวังดี ต้องการมาช่วย

ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ชอบระบอบทักษิณ เพราะผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ทั้งในและนอกประเทศในระยะเวลาแค่ 6 ปี ทำให้รากหญ้าลืมตาอ้าปากได้ ทำให้คนทั้งโลกรู้จักประเทศไทย เราก้าวกระโดดอย่างมากบนเวทีโลก

มีผู้นำกี่คนที่คิดเอเชียบอนด์
มีผู้นำกี่คนที่กล้าประกาศกับคนทั้งโลกว่าไม่รับเงินบริจาคสึนามิ เราดูแลตัวเองได้ ขอรับแต่เวชภัณฑ์และความรู้ผู้เชียวชาญ โคตรเท่
มีผู้นำกี่ประเทศที่กล้าต่อสายถึงผู้นำกัมพูชา ห้ามกัมพูชาทำร้ายคนไทยแม้แต่คนเดียว ส่ง c 130 พร้อมหน่วยคอมมานโดไปรับคนไทยถึงบ้านเขา และกัมพูชาต้องรับผิดชอบค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินของคนไทยทั้งหมด
มีผู้นำกี่คนที่กล้าประกาศทำสงครามกับยาเสพติด คอรัปชั่นและความจน
เป็นนายกที่สร้างสนามบิน 7 ชั่วโคตรสำเร็จ
สร้างหลักประกันสุขภาพ 30 บาทให้คนไทย  แม้แต่ UN ยังกล่าวยกย่อง
ประธานาธิบดีสหรัฐยังลอกเลียนแบบไปใช้ ในนามโอบามาแคร์
มีผู้นำกี่คนที่เอาไก่ไปแลกเครื่องบิน เหตุเพราะบินได้เหมือนกัน
มีผู้นำกี่คนที่แก้ปัญหาหวัดนกได้เฉียบขาดก่อนประเทศไหนๆ กล้าโชว์กินไก่กลางท้องสนามหลวงแล้วท้า...ใครกินไก่ตายได้ 1 ล้าน

มีมั้ย แก้ปัญหามะนาวแพง ไปปลูกเอง
ยางถูก ไล่ไปขายดาวอังคาร
น้ำแล้ง ขุดบ่อเอาสิ
แล้วไม่ให้คนรักทักษิณ้?! จะให้รักหมาที่ไหน?

บริหารประเทศแค่ 6 ปี มีผลงานมากกว่าพรรคอัปรีย์ที่ก่อตั้งมา 60 กว่าปี
แปลกใจกว่านั้นคือยังมีคนบางจำพวกเลือกและรักพรรคอัปรีย์ทั้งๆที่ไม่เคยมีผลงาน นอกจากไม่มีผลงานยังเอาแต่โกงกิน เลือกมาโกงภาษีตัวเอง เลือกมาโกหก บ่อนทำลายประชาธิปไตย บ่อนทำลายชาติ ถ่วงความเจริญก็ยังเลือก
หาเสียงมา 60 กว่าปี ไม่มีนโยบายไหนเคยทำสำเร็จเป็นรูปธรรม ยังเลือก?!!

สิ่งที่ทำให้คนไทยรักทักษิณคือผลงานและความเสียสละทุ่มเทของเขา ไม่ใช่ชื่อทักษิณ ไม่ใช่ยศ พตท. ไม่ใช่ตำแหน่ง ดร.
คนออกมาปกป้องทักษิณเพราะผลงาน เพราะสำนึกบุญคุณเขา เพราะสิ่งที่เขาสร้างไว้ เพราะต้องการให้เขากลับมาพัฒนาชาติอีก สารพัดเหตุผล

ถอดยศถอดตำแหน่งเขาได้ถอดไป แต่ถอดเขาออกจากใจคนไทยไม่ได้
วันนี้ต่อให้ไม่มีทักษิณ เขาก็ไม่รักเมิง

ชวนคิดชวนคุย ตอน "เสี่ยสั่งลุย"!!!!! โดย ดร.เพียงดิน รักไทย มหาวิทยาลัยประชาชน





มีข้อมูลจากพี่น้องส่งมาครับ


มอง คสช.ให้ขาด แผนอุบาทว์ สร้างผู้ร้ายมาแทนตัวเอง !!! หลังจากที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวปาฐกถาที่เกาหลีใต้ และได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเมืองไทยกับสำนักข่าว Shosun ซึ่งมีเนื้อหาบางตอนได้พูดถึงคำว่า "องคมนตรี ทหาร Palace Circle" ซึ่งทำให้เกิดผลสะเทือนต่อเครือข่ายชนชั้นสูง (Elite) และคนโง่ถือปืนอย่าง คสช. มากพอสมควร - - - - - - - - - - การออกมาพูดเพียงเล็กน้อยในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า กลุ่มอำนาจเก่า และ คสช. ต้องการยุติบทบาททางการเมืองของพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จึงพยายามถอนพาสปอร์ต ถอดยศ และสร้างคดีใหม่แก่ทักษิณ ให้ได้ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะ เพราะเหตุใด อยากรู้ ต้องโหลดมาอ่าน ดาวนโหลด เอกสารเพื่ออ่าน ได้ที่นี่ เอกสาร Breakdown Thaksin 29-05-2015 http://www.mediafire.com/…/f6z…/BreakdownThaksin29052015.pdfถ้าเห็นว่า ควรส่งต่อ จะรออะไรอยู่ ? https://www.facebook.com/secret100million/photos/a.219472928250911.1073741828.128043194060552/376678239197045/?type=1

หลักฐานมัดแน่น ผู้ปลงพระชนม์ (ฆ่า) ร. 8 ฉบับสมบูรณ์










Download









ดาอยากด่า ตอน .."ไอ้ทะเหี้ยควายเหล่ หุงข้าว..ยังไม่สุก"

ดารุณี กฤตบุญญาลัย - Darunee Kritboonyalai ดาอยากด่า ตอน .."ไอ้ทะเหี้ยควายเหล่ หุงข้าว..ยังไม่สุก" สำรอกรายวัน..โง่เขลา เบาปัญญา บ้าอำนาจ คนดีคนเก่ง..แต่... ตกภูมิศาสตร์...น้ำเหนือไหลลงท่วมภาคใต้ ตกประวัติศาสตร์...คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต ตกเลขคณิต...ตัวเลขเศรษฐกิจชาติ ตอแหลหลอกลวง วันนี้...ตกภาษาไทย...เอิ๊กกกกกก " ฆ่าเสือก่อนลงจากหลังเสือ " ... " เสือ " ที่มึงขี่อยู่ ชื่อ " พยัคฆ์เทวัญ " ของกากเดนสัด..กากสัด นะเฟ้ยยยยยย มึงบอก..ประชาชนจะอดตาย จะอดแดก...รอไปก่อน มึงหุงข้าว..ยังไม่สุก... ถ้าสุกแล้ว..พวกมึงจะกินก่อน กินรวบ..แดกรวบ..ไม่กินแบ่งให้ประชาชนร๊อกกกก!!!! แถมลงจากหลังเสือ..จะแดกแม่ แดกพ่อ แบบกุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่...มึงบอก..ก็กรูหิววววว คนดีที่เนรคุณแม่ ...ทำไม? กรูจะฆ่าแม่พยัคฆ์เทวัญไม่ได้... ก้อออ...กรูหิวเงิน..เอ้ย! หิวข้าวววว 55555

ดาอยากด่า ตอน .."ไอ้ทะเหี้ยควายเหล่ หุงข้าว..ยังไม่สุก"สำรอกรายวัน..โง่เขลา เบาปัญญา บ้าอำนาจ คนดีคนเก่ง..แต่...ตกภู...

Posted by ดารุณี กฤตบุญญาลัย - Darunee Kritboonyalai on Saturday, May 30, 2015

Saturday, May 30, 2015

ดร.เพียงดิน รักไทย 2015-05-31 ตอน สงครามโลกครั้งที่ 3 และทางรอดประเทศไท...







Download







หลักฐานมัดแน่น ผู้ปลงพระชนม์ (ฆ่า) ร. 8 ฉบับสมบูรณ์











Download




สามัญชนคนไทย : คนไทยกินป่าเป็นอาหาร (30 พ.ค. 58)













San Andreas - Official Trailer 2 [HD] โลกเราน่ากลัวครับ

















ภาพที่ทำให้ทั่นผู้นำประยุทธ์ เสีย self จนต้องออกกฎหมายห้าม เฮ่ะ ๆ ๆ

ข้อความและภาพส่งมาจากแฟนคลับคสช. อิ ๆ


ข้อห้ามใหม่ล่าสุด ห้ามนำภาพไม่สวยลงเผยแพร่ทางสื่อ..มันไม่ดีต่อภาพพจน์ผู้นำประเทศ .. ใครมีภาพหล่อช่วยหามาลงหน่อยเถอะ.

ใครสั่งฆ่า? ... วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ 3 มีนาคม 2544

เครดิต สหาย รุ่งศิลา

ใครสั่งฆ่า? ... วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ 3 มีนาคม 2544




วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ 3 มีนาคม 2544

วันที่ 3 มีนาคม 2544 หลายคนยังจำกันได้ในสมัย "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนั้นเป็นข่าว
ครึกโครมไปทั่วประเทศและทั่วโลกเมื่อ เครื่องบินของสายการบินไทย ที่จอดเทียบท่าอยู่สนามบินดอนเมืองเพื่อรอ
รับผู้โดยสารบินไปยังจังหวัดเชียงใหม่ โดยหนึ่งในผู้โดยสารในเที่ยวบินดังกล่าวก็มีผู้นำของประเทศ"พ.ต. ต.ทักษิณ"
ก่อนที่ผู้โดยสาร ขึ้นเครื่องไม่กี่นาที เครื่องบินลำดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้น กลางสนามบินดอนเมือง สร้างความแตก
ตื่นให้กับผู้คนจำนวนมาก โชคดีของผู้โดยสารที่ยังไม่มีใครขึ้นบนเครื่องบิน  จึงไม่มีใครสังเวยชีวิตในครั้งนั้น แต่ก็เป็น
ที่กังขาของหลายฝ่ายว่าระเบิดเครื่องบินไทยครั้งนั้นเกิดจากเหตุอะไรกันแน่

ลอบวางระเบิดนายกฯ..? วินาศกรรม..? ความประมาท..? อุบัติเหตุ..?
จนวันนี้คำถามเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับความชัดเจน

24 ชั่วโมงของทักษิณ : บทที่ 1 เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ (ตอนที่1)
        นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ทักษิณเอาชีวิตรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม2544
เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 25 วัน  เขาก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกลอบสังหารในวันนั้น
เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำหนึ่งของการบินไทยซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 129 คน เดินทางจากกรุงเทพฯ  ไปยัง
จังหวัดเชียงใหม่ผู้โดยสารบนเครื่องซึ่งรวมทั้งทักษิณที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยลูกชายรวมทั้ง
ข้าราชการจำนวน 20 คนเตรียมพร้อมขึ้นเครื่องวินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้นที่นั่งชั้นหนึ่งหมาย
เลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้น ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากแต่
ที่โชคดีก็คือ ที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดย   ตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็
คือ นายพานทองแท้  ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุ  ว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วย
ชีวิตพ่อของตนไว้ได้
Boeing  737-400 

ดร. "ทักษิณ อ้างไม่ผิด แล้วทำไมไม่กลับมารับโทษ" ความเห็นของเสื้อแดงท่านหนึ่ง

บ่อยครั้งที่จะได้ยินคำว่า" ไม่ผิด แล้วทำไมไม่กลับมาสู้คดี "นั้น
ตอบแบบ ให้ความรู้ว่า คดีที่ถูกตัดสินไปนั้น มันไม่มีสิทธิ์ ให้สู้คดี ตัดสินแล้วตัดสินเลยเป็นอันสิ้นสุด ไม่ทราบว่า คนกลุ่มหนึ่งยังไม่รู้แม้กระทั่ง คดีที่ดินรัชดา คนซื้อไม่ผิด คนขายไม่ผิด แต่สามีคนซื้อ เซ็นอนุญาตในฐานะสามี ผิด ! คดีนี้ จะเป็นยางลบฐาน ให้อนุชน รุ่นหลัง ได้ศึกษา ถึงวิธีพิจารณา คดีว่า การซื้อการประมูลหลักทรัพย์ กับหน่วยราชการไทย(กองทุนฟื้นฟู) ซื้อมันมาแล้ว จะนำมาซึ่งความซวย ความพินาศของตระกูล ต้องติดคุกติดตะราง มีความผิด ประมูลให้มันด้วยราคาสูงสุด ถามว่าคนขาย หน่วยงานของรัฐ ได้ประโยชน์มั้ย ได้ ได้ราคามั้ย ได้ สูงสุดมั้ย สูงที่สุด แล้วใครเสียหาย มีมั้ย ไม่มี มันเป็นคดีที่พิลึกพิลั่น สั่นประสาท มีช่องว่าง ช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่จะเอาผิดให้ได้ ก็ต้องเอา เหมือนอย่างนายสมัคร ถูกคดีทำกับข้าว ก็กระเด็นจากตำแหน่งนายกได้ มันง่ายแบบพิลึก มันเหมือนจ้องหาทางเอาผิดทุกกระเบียดนิ้ว อย่าพลาดมา หาทุกวิถีทาง จับมันทุกกระเบียดนิ้ว จะเอาความผิดเขาให้ได้ ไม่คิดถึงสิ่งดีดีที่เขาทำเอาใว้ให้บ้านเมืองบ้าง ? สิ่งที่คนซื้อ คนที่ประมูลได้ ด้วยราคาสูงที่สุด ได้รับไม่ใช่ที่ดิน แต่เป็นความซวย ต้องเสียสามีไปทั้งคน ยุติธรรม ที่สุดในโลก มั้ย ? คดีนี้จะเป็นยางลบฐาน ที่เตือนสติให้ใครก็ตาม อย่าไปบังอาจ ไปประมูลที่ดินกับหน่วยงานราชการ เพราะอาจเป็นเช่นนี้ สามีเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ยังโดนคดี แล้วนับประสาอะไร กับประชาชนน คนธรรมดา จะอยู่ในสังคมแบบได้อย่างไรไหว ต่างชาติที่ไหนใครเขาก็กลัว กระบวนการอย่างนี้ !!!! ลองคิดดูนะครับ ผู้ที่เกลียดชัง ทักษิณ ทั้งหลาย คุณลองเอาสมองคิดสักนิดว่า เขาทำให้รัฐหรือใครเสียหาย สักบาทมั้ย ที่ว่าเขาผิดต้องติดคุกสองปีนั้น คดีนี้ เขาทำให้ใครเสียหาย สักบาทมั้ย รัฐเสียหาย หรือมีใครเสียหายมั้ย การโกง การทุจริต มันต้องมีผู้เสียหาย วิชากฎหมาย ต้องเรียนกันใหม่ ว่า แม้ไม่มีผู้เสียหาย แม้ประมูลอย่างโปร่งใส แม้ไม่มีเจตนา ก็สามารถติดคุกได้ มีความผิดได้ ถ้าอยากจะหาเรื่องเอาผิด !!!!!
คดีนี้ ทักษิณ ผิดมากขนาดไหน เขาฆ่าพ่อ ล่อแม่คุณ ข่มขืนลูกเมียคุณ หรือทุจริตเงินใครไปสักบาทมั้ย คุณถึงคิดอาฆาตพยาบาท เขาขนาดนั้น ถ้ายังมีสติ ถ้ายังมีความคิด ลองเอาสามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ คิดถึงผิดถูกชั่วดี แค่นี้ก็พอจะตัดสินได้ ว่า จะกวักมือท้าเรียกให้เขามาสู้คดีที่เมืองไทย อย่างเยอะเย้ยเย้ยหยัน ผมเคยคุยกับพวกสลิ่ม หลายคน ทุกคนก็ยอมรับว่า มันคือการหาเรื่อง รู้ทั้งรู้ทั้งนั้น ก็มันคนไม่ใช่สัตว์ ที่จะทำเป็นไม่รับไม่รู้ ว่าเรื่องราวคดีมีความเป็นมาอย่างไร มันรู้กันทั้งนั้น แต่เพราะความอคติ ที่อยู่ในใจ ทำเป็นเย้ยหยัน ทำเป็นท้าทาย ทำลายเขาได้ดีชอบ นี่คือนิสัย ! ลองตอบคำถามผมสักคำ ว่า คนที่พวกคุณเชื่อแบบถวายหัว อย่างสนธิ ถูกศาลตัดสิน มีความผิดทุจริตต่อตลาดหลักทรัพย์ ปกปิดซ่อเร้น หลอกลวง แจ้งสำแดงเท็จ ศาลตัดสินจำคุกเกือบร้อยปี ตัดสินไปสองศาล ถามพวกคุณว่า คนอย่างนั้นคุณว่ามันดี นี่แหละคนไทย ไทยขยะ ที่เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ ทำไมจิตใจมันตกต่ำ ดำมืดได้ขาดนี้ ?? ทำไมไม่ลองคิดดูว่า ถ้าทักษิณ เลวจริง ต่างชาติ คนทั้งโลกยอมรับเขาได้อย่างไร มีแต่คนกลุ่มเดียวในเมืองไทย ที่โดนมนต์โกเต็กซ์เข้าไปเท่านั้นที่เชื่อแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร คนกลุ่มที่เรียกว่า ตัวเองว่า เสื้อเหลือง พันธมิตร หลากสี สลิ่ม กปปส ล้วนคือคนๆเดียวกันทั้งเพ ผลิตผลชาติกำเนิดมาจาก สนธิ ทั้งสิ้น พอสนธิเริ่มเสื่อม หาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ ก็ไปเกาะกำนัน พอกำนันเสื่อมก็ไปเกาะขี้ที่ลอยน้ำมา ไม่มีอะไรซับซ้อน การหลงสื่อ การโฆษณาชวนเชื่อ การกรอกหู การล้างสมองคนเหล่านี้ คนที่มีปัญญาไม่แข็งแรง เขาสอนอย่างไร เชื่อหมดใจ นี่แหละนิสัยสลิ่ม มันจึงเป็นสิ่งที่น่าสงสาร ที่สิบปี ไม่ทำให้คนเหล่านี้ เลิกเป็นทาส เลิกเสพติด ลองดูพฤติกรรม เขาสอนให้เกลียดทักษิณ เกลียดเสื้อแดง เห็นไม่ได้ ตาขวางฟูมฟาย น้ำลายฟูมปาก นี่คือนิสัย มันบ้า มันคลุ้มคลั่ง แต่เชื่อว่า กาลเวลา จะทำให้พวกเขาหูตาสว่างขึ้นมาบ้าง แต่ก็อาจจะเจียนตาย เพราะส่วนใหญ่ คือผู้สูงอายุ นี่แหละ ด้วยพิษของสื่อ สื่อชั่ว มันสามารถทำลายคนไทยเกือบครึ่งประเทศ เสพติดคิดชั่วตามที่ตัวต้องการ ทั้งที่ตัวมันเอง ชั่วแสนชั่ว ชั่วยิ่งกว่าใครๆ แต่มันก็ทำให้บ้านนี้เมืองนี้ เสียหายเกลียดชังสร้างความพินาศได้อย่างมากมาย อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ความเสียหายครั้งนี้ ยับเยินมากมายเหลือคณานับ เพราะไม่เพียงแต่สร้างความเกลียดชังแตกแยกให้กับเผ่าพันธุ์ไทย แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น มันดึงสถาบันต่างๆ เข้ามาเกลือกกลั้วจนมัวหมอง ทั้งพระสงฆ์องคเจ้า ศาล ตุลาการ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ หมอ นักเรียนนิสิต นักศึกษา ปัญญาชน คนเดินถนน เรียกว่าความขัดแย้งลุกลามบานปลายไปทั่วทั้งแผ่นดิน นั่นแหละผลงานของมัน ผลงานที่สลิ่มภูมิอกภูมิใจ ในสิบปีที่ผ่านมา ! มีคนอ้างว่า ความขัดแย้ง ที่มีมานานนับสิบปี กำลังจะแก้ไขปัญหา ให้เกิดความปรองดอง สามัคคีกลับคืนมา ถามว่า ไหน ใคร ทำอย่างไร วันนี้ยังไม่มีวี่แววว่า จะมีหน้าไหน ออกมาเพื่อขจัดความขัดแย้ง ที่กำลังร่าง กติกา กันอยู่ในสภาปฎิรูปนั้น ก็เห็นกันอยู่อย่างชัดๆว่า มันกำลังร่างเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม แล้วมาอ้างว่า กำลังปรองดองกำลังสามัคคี แค่เห็นหน้า อ้า... คนแก้ ก็รู้แล้วว่ามันจะแก้อย่างไร ก็เล่นเอาคู่ขัดแย้ง คนที่เกลียดชัง คนที่คิดทำลายฝ่ายตรงข้าม ตัวเป็นๆ ตัวเป้งๆ นั่นแหละกลุ่มหัวๆ ตัวขัดแย้ง ที่ขึ้นเวที กปปส ทั้งนั้น มีที่ไหนในโลกเขาทำวะ เอาคู่ขัดแย้ง มาตั้งกติกาเสียเอง เจริญเถอะ....ประเทศไทย!! ปล ขอเสริมอีกนิด ว่า ที่จะทำประชามตินั้น ไม่ต้องทำให้เสียงบประมาณ 3000ล้าน เพราะมันไม่ผ่านอยู่แล้ว เพราะคนที่ร่างล้วนคือตัวอคติ ตัวขัดแย้ง ไม่รู้ว่าหน้าไหนไปลากกันมา ถ้าไม่อยากให้เสียเวลา คนที่ร่างมันต้องมาจากทุกฝ่าย" ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน "ไม่งั้นไ่ม่มีวันจบหรอกจะบอกให้ .....เหตุที่ผมแดงก็เพราะความยุติธรรมไม่มีบนแผ่นดินนี้แหละครับ..


ข่าววงลึก ประยุทธ์และคสช. รู้เห็นเป็นใจกับการยึดครองประเทศ โดยจีน หรือไม่?

ข้อความทางไลน์ จากนักธุรกิจในไทย

นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น...ยุดเหล่ไม่รู้หรือเป็นนโยบายของ คสช.จะกีดกันนักธุรกิจทุกชาติออกไป เพื่อขนคนจีนมาลงทุน ครองตลาดในประเทศไทยไว้ทั้งหมด????

งานที่บริษัทของผมขาดทุนมาเป็นปีแล้ว ทางราชการมีคำสั่งไม่ให้ทนายจดบริษัทให้แก่ชาวต่างชาติถือหุ้นแทนต่างด้าว ดีเอสไอ มาสอบทนายทั่วประเทศ หมู่บ้าน คอนโด เจ๊งกันหมด คนพัทยา ภูเก็ต เกาะสมุย เจ๊งหมด ตอนนี้ที่ออฟฟิส ปลดพนักงานเกือบหมดแล้ว เพื่อให้มีกำไรเหลือบ้าง เหตุการณ์เป็นแบบนี้มานานเป็นปีแล้ว เลยไปทำธุรกิจยูนิซิตี้ เพื่อเปลี่ยนทางเดินใหม่ แต่ไม่บอกแม่และครอบครัวให้ตกใจ เงินที่ระดมมาก็เอามาอุดขาดทุน ผ่อนจ่ายบ้านรถจนเกลี้ยง ตอนนี้บอกขายบ้านทั้งสองแห่ง และคอนโดทุกแห่ง

...ขอบคุณสำหรับข้อมูล...

กรรมที่ก่อต่อ ดร.ทักษิณ มีผลทางกฎหมายนานาชาติ อย่างไรบ้าง?

สิ่งที่ คณะคสช และ ฝ่ายบริหาร [เถื่อน] ทำกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในขณะนี้คือ:
(๑) เพิกถอนหนังสือเดินทาง หรือ passport
(๒) สั่งให้นายทหารพระธรรมนูญ ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานความผิดดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ประมวลกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ เพื่อฟ้องในศาลทหาร
(๓) ถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณฯ ในฐานที่เป็นผู้หลบหนี หรือ หลบหนีหมายจับในคดีที่ดินรัชดาภิเษก
ทั้งสามกรณี เป็นความผิดตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปีค.ศ.๑๙๔๘; กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมือง และ สิทธิในทางการเมือง ปีค.ศ.๑๙๖๖(เป็นสนธิสัญญา) รวมทั้ง กติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ปีค.ศ.๑๙๖๖ (เป็นสนธิสัญญา)
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทย มีอยู่กับนานานชาติ และองค์การสหประชาชาติ ทั้งสามสิ่งที่ระบุมาข้างต้น คือ "ธรรมนูญของโลกว่าด้วย กฏหมายอันมีที่มาจากสิทธิมนุษยชน หรือ International Bill of Rights"
การจะใช้ธรรมนูญของโลกในเรื่อง กฏหมายอันมีที่มาจากสิทธิมนุษยชน ได้อย่างถูกต้องแท้จริง จำต้องอาศัยคำอธิบายจากบรรทัดฐานในคดี และบรรทัดฐานนี้ มีที่มาจากคดีที่พิพากษาไว้โดยศาล Supreme Court ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศาลรัฐธรรมนูญศาลแรกของโลกในยุคของรัฐใหม่ (Modern State) คดีที่กล่าวอ้างถึงนี้คือ:
(๑) Kent v. Dulles, 357 U.S. 116 (1958)
(๒) Trop v. Dulles, 356 U.S. 86 (1958)
คดีที่กล่าวมาข้างต้นทั้งสองคดี องค์การสหประชาชาติ ยอมรับนำมาใช้อ้างอิง และ ผู้ใฝ่รู้ทั้งหลาย อาจค้นคว้าหาอ่านได้ผ่านเครื่องอ่านของกูเกิ้ล โดยพิมพ์ชื่อคดี และหมายเลขต่อท้ายใส่ลงไปบนช่องสี่เหลี่ยม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่สองนั้น เหตุผลของคดี หรือในคดี ใช้เป็นข้อที่นำมาโต้เถียงได้ หากเหตุผลที่ผู้พิพากษาผู้ทรงคุณวุฒิ (Learned Judge) เหล่านั้นในคดี เป็นด้านบนของเหรียญบนด้านเดียวกัน เหตุผลที่นำมาเป็นข้อคิดคำนึง และใช้โต้แย้งเป็นด้านล่างของเหรียญหน้าเดียวกัน เมื่อนำมาโต้เถียงแล้ว ฝ่ายตรงข้ามจนมุม
อนึ่งสิ่งที่ได้กระทำไปแล้วทั้งหมดของ คณะ คสช. และ ฝ่ายบริหาร [เถื่อน] ในขณะนี้ เป็นการฝ่าฝืนต่อความตามที่บัญญัติไว้ใน (สนธิสัญญา) Convention against Corruption, 2003 ที่ประเทศไทย ได้ลงนามและให้สัตยาบันไว้เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ปีค.ศ.๒๐๑๑ หรือ ปีพ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งฝ่าฝืนต่อ (สนธิสัญญ่า) Convention against Transnational Organized Crime, 2000 มีผลบังคับทั่วไปในเดือน กันยายน ปีค.ศ.๒๐๐๓ ประเทศไทยไปลงนามให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาฉบับหลังนี้ในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ปีค.ศ.๒๐๑๓ หรือปีพ.ศ.๒๕๕๖
ที่จริงแล้ว คณะ คสช. และฝ่ายบริหาร ที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายนี้ ต้องถูกจัดการโดยสนธิสัญญา ทั้งสองฉบับ ดังกล่าวข้างต้น เพราะความผิดตามสนธิสัญญาทั้งสองฉบับ ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นความผิดทางอาญาระหว่างประเทศ หรือ International Crimes
นายตำรวจคน ที่ออกมาแถลงข่าว ต้องระมัดระวังตัวเองให้ดีๆ เพราะตัวท่านเอง ได้กระทำความผิดตามกฏหมายในฐานะ ที่เป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง (ละเว้น เท่ากับ กระทำการ) ให้ไปอ่านคำพิพากษาของ ศาลอาญาพิเศษของ องค์การสหประชาชาติ ในคดีที่ชื่อว่า " Dusan Tadic หรือ Dusko Tadic ให้ขึ้นใจ
คำพิพากษาฉบับนี้ ยังได้อธิบายถึงว่า "ทำอย่างไร จึงเป็น ผู้ร่วมขบวนการ ในการกระทำความผิดทางอาญาระหว่างประเทศ" เอาไว้โดยละเอียด นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า "อย่าเห็นความผิดผู้อื่น สูงเป็นภูเขาเลากา แต่ความผิดของตนเอง เสมอเพียง "เส้นขน" เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้.

เชิญชวน พุทธศาสนิกชนในอเมริกา ร่วมประชุม"สมัชชาสงฆ์ไทย"ครั้งที่ 39 ณ วัด...








Download








"จตุพร"วิเคราะห์ แผนพิฆาต"ทักษิณ"เป็นผลดีต่อคนเสื้อแดง








Download









Published on May 30, 2015

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแ­ห่งชาติ หรือ นปช. ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ กับ Thaivoicemedia กรณีที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถอดยศ และยกเลิกหนังสือเดินทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องเก่าที่เคยทำมาแล้วหลายครั้ง เหมือนละครดาวพระศุกร์ ที่ไม่ได้ส่งผลกระเทือนต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ นปช. คนเสื้อแดง แต่อย่างใด แต่การขุดเอาเรื่องนี้มาใช้อีกครั้ง เพราะต้องการกลบเกลื่อนความล้มเหลวในการบร­ิหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เกิดวิกฤติขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะวิกฤติด้านเศรษฐกิจที่สร้างความเด­ือดร้อนให้กับประชาชนระดับล่างอย่างรุนแรง­มากขณะนี้ ขณะเดียวกันเพื่อแก้ปัญหาระหว่างเสือ กับ คนขี่เสือ ซึ่งคนเสื้อแดงไม่ใช่เสือ และไม่เคยยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งอย่บนหลังคนเสื้อแดง แต่เสือที่พล.อ.ประยุทธ์ นั่งอยู่บนหลังตอนนี้คือ ผู้มีอำนาจในหมู่ชนชั้นนำด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาล คสช.รุกฆาตกับพ.ต.อ.ทักษิณ อย่างหนักในขณะนี้ กลับเป็นผลดีกับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะจะทำให้ประชาชนหมดข้อสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังฮั้ว หรือ เกี๊ยเซี็ยะ กับกองทัพหรือคสช.หรือไม่
นายจตุพรกล่าว หลังเกิดรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 นปช.และคนเสื้อแดง ดูเหมือนจะสงบนิ้ง แต่การนิ่งคือการรุกอย่างหนึ่ง นั่นคือการปฎิบัติการอดทนขั้นสูงสุด เพื่อให้ คนไทยทั้งประเทศได้เห็นถึงวิกฤติของประเทศ­จากการทำรัฐประหารด้วยตัวเอง จะได้ไม่ต้องมาอ้างเป็นเพราะการเคลื่อนไหว­ของคนเสื้อแดง ซึ่งตอบไม่ได้ว่าความอดทนนี้จะถึงจุดดระเบ­ิดได้เมื่อใด ทั้งหมดอยู่ที่คนไทยทั้งประเทศว่าจะอดทนกั­บวิกฤติของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้­ได้ยาวนานแค่ไหน

Category
People & Blogs
License
Standard YouTube License

ศาลไม่รับฟ้องพลเมืองฯฟ้องคสชกบฎ 55555555 ต้องศาลประชาชนเท่านั้น









Friday, May 29, 2015

ประยุทธ์ กับเสือ เสือไหน?​ ใครจะฆ่าใคร? จับตาอย่ากระพริบ!!!

"สุขุม"ชี้ เสือที่"ประยุทธ์"ควรกลัวคือ ประชาชน ไม่ใช่ ทักษิณ









Published on May 29, 2015
อาจารย์
สุขุม นวลสกุล นักวิชาการรัฐศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemeida กรณีที่ รัฐบาลทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ถอดยศตำรวจ และยกเลิกหนังสือเดินทาง พร้อมทั้ง การตั้งข้อหา 112 ก้บ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลี้ภัยการเมืองอยู่ในต่างประเทศ
ขณะนี้ว่า การให้่สัมภาษณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนนำไปสู่การถอดยศ
ยกเลิกหนังสือเดินทาง และการถูกตั้งข้อหา 112
เพราะต้องการจะเป็นฝ่ายรุกบ้าง ไม่อยากจะถูกกระทำฝ่ายเดียว
และหากเงียบอยู่ต่อไป มวลชนจะไม่เอาด้วย แต่สุดท้าย
คสช.คงทำอะไรพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ แม้พล.อ.ประยุทธ์ บอกเป็นนัยว่า
ถ้าจะลงจากหลังเสือต้องฆ่าเสือ แต่เสือที่ไม่อยู่ในกรง ก็ฆ่าไมได้
แต่คิดว่า เสือที่แท้จริงของ คสช.คือ ประชาชนที่กำลังต่อต้านมากกว่า
และหากทั้งสองฝ่ายจะลุกขึ้นมาสู้กันจริง
เรื่องที่จะสร้างความปรองดองก็ไม่ต้องพูดถ­ึง จริงๆ แล้วความคิดที่แตกต่างทางการเมืองคนละฝ่าย­เป็นเรื่องปกติ จะให้สองขั้วความคิดทางการเมืองมาปรองดองไ­ม่สามารถทำได้ ส่วนกรณีที่ ฝ่ายคสช.บอกว่า สถานการณ์ตอนนี้ คสช.อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าฝ่ายคุณทั­กษิณ นั้นก็อ้างกันได้ แต่สุดท้ายจะตัดสินกันที่ การเลือกตั้ง เพราะประชาชนและนานาชาติก็เรียกร้องให้มีก­ารเลือกตั้งโดยเร็ว
Download








ปฏิวัติประเทศไทยกับ อ.สุรชัย #31 วันที่ 29-05-15















การถอดยศ ดร.ทักษิณ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?

การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้มาตามกฏหมาย ทำได้หรือไม่?
นี่คือ คำตอบของผมในฐานะที่เป็นนักกฏหมาย
สิ่งที่เขาได้ยศ ได้ศักดิ์มา เป็นเพราะกฏหมายบัญญัติ ให้เขาได้ และ เขาปฏิบัติตัวตามกฏเกณฑ์ (Requirement of Law) ของกฏหมาย จึงได้สิทธิเหล่านั้นมาโดยชอบ คำว่า "โดยชอบ" ก็คือ "โดยชอบด้วยกฏหมาย"
การเที่ยวไปสั่ง หรือแอบสั่ง ให้ถอดถอนยศ หรือบรรดาศักดิ์ ของเขาในยุค ที่ประเทศปกครองในระบอบประชาธิปไตย ภายใต้กฏเหล็กของ การแบ่งแยกอำนาจ (the Separation of Powers) โดยไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญไทย เกือบทุกฉบับ
ขอถามว่า "ข้ออ้างของคุณอย่างนี้ เป็นการอ้าง หรือใช้ อำนาจตุลาการ ก้าวก่าย อำนาจนิติบัญญัติ หรือไม่?"
คนที่นำเอาเหตุผลเช่นนี้มาอ้าง และใช้ ต้องใช้สมองตรองคิด ก่อนใช้ หรือ ก่อนพูดพ่นนะครับ

มอง คสช.ให้ขาด แผนอุบาทว์ สร้างผู้ร้ายมาแทนตัวเอง !!!

กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ


มอง คสช.ให้ขาด แผนอุบาทว์ สร้างผู้ร้ายมาแทนตัวเอง !!!

หลังจากที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวปาฐกถาที่เกาหลีใต้ และได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเมืองไทยกับสำนักข่าว Shosun ซึ่งมีเนื้อหาบางตอนได้พูดถึงคำว่า "องคมนตรี ทหาร Palace Circle" ซึ่งทำให้เกิดผลสะเทือนต่อเครือข่ายชนชั้นสูง (Elite) และคนโง่ถือปืนอย่าง คสช. มากพอสมควร
- - - - - - - - - -
การออกมาพูดเพียงเล็กน้อยในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า กลุ่มอำนาจเก่า และ คสช. ต้องการยุติบทบาททางการเมืองของพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จึงพยายามถอนพาสปอร์ต ถอดยศ และสร้างคดีใหม่แก่ทักษิณ ให้ได้ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะ

เพราะเหตุใด อยากรู้ ต้องโหลดมาอ่าน
ดาวนโหลด เอกสารเพื่ออ่าน ได้ที่นี่

เอกสาร Breakdown Thaksin 29-05-2015
http://www.mediafire.com/…/f6z…/BreakdownThaksin29052015.pdf
ถ้าเห็นว่า ควรส่งต่อ จะรออะไรอยู่ ?
https://www.facebook.com/secret100million/photos/a.219472928250911.1073741828.128043194060552/376678239197045/?type=1


คณะกรรมการพิจารณาถอดยศตำรวจ มีมติถอดยศ "ทักษิณ"



Download






Thursday, May 28, 2015

ดร.เพียงดิน รักไทย 2015-05-29 ตอน ถอดรหัสข่าวลับกรองแล้ว กับทางฝ่าวิกฤติ...



Download









บ้านเมือง - คอลัมน์ - ตำรวจ...ระทม!!!

บ้านเมือง - คอลัมน์ - ตำรวจ...ระทม!!!








"ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8"

ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8




ภูมิพล เป็นคนยิง ร. 8



Andrew MacGregor Marshall
เรียบเรียงจากเรื่อง ความลับอันสุดเศร้าของประเทศไทย  http://www.zenjournalist.org  

ของ Andrew MacGregor Marshall ผู้เขียน Thailand : A Kingdom in Crisis
ช่วงเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน  2489

ในหลวงอานันทมหิดล รัชกาลที่ 
8 ของประเทศสยามที่มีพระชนมายุ 21 พรรษา ได้ถูกยิงที่ศีรษะและเสด็จสวรรคตอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์ในพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ตอนเย็นของวันนั้น เจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดชซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์พระชนมายุ 19 พรรษา ได้รับการสถาปนาให้เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ได้ครองราชสมบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขณะนี้พระองค์ทรงชราภาพและเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ทรงเก็บพระองค์เองอยู่ในโรงพยาบาลศิริราช แต่พระองค์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
โดยทางการแล้ว คดีฆาตกรรมเรื่องนี้ได้ถูกพรรณาไว้ว่าเป็นเรื่องลึกลับ เป็นปริศนาทางอาชญากรรมที่ผิดวิสัยที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ซึ่งไม่สามารถเฉลยข้อเท็จจริงออกมาได้ในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ในความจริงแล้ว มันชัดเจนมาเป็นเวลานานแล้วว่าใครเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8  ความจริงได้ถูกปกปิดโดยระบอบเครือข่ายนิยมกษัตริย์ของประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันแสนเข้มงวด นั่นคือ กฎหมายอาญามาตรา 112  ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการบุคคลต่างๆให้กลายเป็นอาชญากร เมื่อมีการสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศไทยอย่างเปิดเผยและโดยสุจริตใจ


หลังจากที่ในหลวงอานันท์ได้เสด็จสวรรคตไปเพียงไม่กี่นาที สถานที่เกิดเหตุได้ถูกจัดเปลี่ยนอย่างจงใจเพื่อปกปิดหลักฐานต่างๆว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วคืออะไร บุคคลที่อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในตอนเช้าของวันนัั้น ไม่เคยเปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณะว่าได้เกิดอะไรขึ้น และบุคคลคนเดียวในขณะนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คือ ตัวกษัตริย์ภูมิพลนั่นเอง ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เคยเปิดเผยเลยว่าอะไรได้เกิดขึ้น และคงจะนำความลับนี้ลงสู่หลุมฝังศพไปพร้อมๆ กับตัวพระองค์เอง ถึงแม้ว่าจะมีการทำลายหลักฐานต่างๆ และข้อเท็จจริงตามที่บุคคลที่เกี่ยวข้องได้โกหกว่าอะไรเกิดขึ้นในกรณีสวรรคต  แต่จุดสำคัญประการแรกคือ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ลอบสังหารที่ไม่มีใครรู้จัก สามารถหลบหลีกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังในตอนเช้าของวันนั้นได้ การนำเอาปืนสั้น โคลท์ .45 อัตโนมัติออกมาจากตู้ที่อยู่ข้างเตียงนอนของพระองค์ ยิงพระองค์ตรงกลางศีรษะด้วยปืนกระบอกนั้น แล้วหลบหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็นเลย คนที่เป็นฆาตกรจะต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่พักอาศัยในพระที่นั่งบรมพิมานเท่านััน

วิถีกระสุนเฉียงลงล่างซ้าย
แต่ทันทีหลังจากที่ในหลวงอานันท์สวรรคตไปแล้ว กลับมีการกระจายข่าวออกไปอย่างกว้างขวางว่า พระองค์ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมคือฆ่าตัวตายเอง พระชนนีศรีสังวาลย์ ได้ขอร้องกับนายกรัฐมนตรีปรีดี พนมยงค์ ให้ประกาศว่า การสวรรคตเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากตัวในหลวงอานันท์เอง นายปรีดีและรัฐบาลก็ยินยอมทำตามคำขอร้องนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ในหลวงอานันท์จะยิงพระองค์เองด้วยความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุทำปืนลั่น ในขณะที่ปืนกระบอกนี้จี้อยู่ตรงหน้าผากของพระองค์ขณะที่นอนหงาย และจากวิถีกระสุนที่วิ่งจากหน้าผากผ่านกระโหลกศีรษะทะลุท้ายทอยของในหลวงอานันท์ ขณะฝ่ายนิยมระบอบเจ้าหลายคนที่เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้เริ่มการปล่อยข่าวว่า นายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ นำการสวรรคตมาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อต้องการฟื้นระบอบเจ้าแบบเก่า เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้คืนกลับสู่อดีต

อุปทูตสหรัฐ Charle Woodruff Yost
2450-2524
วันที่ 
13 มิถุนายน2489 อุปทูตชาร์ล ดับเบิ้ลยู โยสท์ (Charge d’affaires Charles W. Yost )ส่งโทรเลขลับไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกรุงวอชิงตัน เล่าถึงการสนทนากับนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เพิ่งเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์ภูมิพลที่ได้กล่าวยืนยันกับนายดิเรกว่า ข่าวลือต่างๆ ที่ว่านายปรีดีวางแผนปลงsพระชนม์หรือนายหลวงปลงพระชนม์พระองค์เอง เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และพระองค์มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การสวรรคตของในหลวงอานันท์เป็นเรื่องอุบัติเหตุ…… ขณะที่มรว.เสนีย์ ปราโมชส่งหลานและภรรยาของตนไปที่สถานทูตของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีปรีดีเป็นผู้วางแผนทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์

ดิเรก ชัยนาม 2447-2510
นายปรีดีและรัฐบาลของเขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทำหน้าที่ค้นหาความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ในวันที่
18 มิถุนายน 2489ประกอบด้วย ประธานศาลทั้งสามศาล พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา และอนุกรรมการทางการแพทย์จากหลายฝ่าย
ขณะที่ฝ่ายนิยมระบอบเจ้าได้ปล่อยข่าวว่า กษัตริย์ภูมิพลก็กำลังตกอยู่ในอันตรายด้วย และขอการสนับสนุนจากทูตสหรัฐและอังกฤษ เพื่อการทำรัฐประหารรัฐบาลของนายปรีดี โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องพระราชวงศ์ ขณะที่รายงานจากคณะแพทย์เมื่อวันที่
27 มิถุนายน 2489 ลงความเห็นว่ามีคนยิงรัชกาลที่ 8 




Sir Geoffrey Stuart Thompson
2448-2526
โทรเลขลับจากเอกอัครราชทูตอังกฤษเซอร์เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สัน บันทึกการเปิดเผยของนายดิเรก ชัยนาม ว่าทางวังสั่งให้ปกปิดรายงานของคณะแพทย์เป็นความลับห้ามเผยแพร่เด็ดขาด
ความพยายามของรัฐบาลนายปรีดี ที่พยายามชี้ว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุนับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของรัฐบาลเอง แม้ว่านายกปรีดีมีเจตนาจะรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันกษัตริย์ ดังนั้นรัฐบาลนายปรีดีจำเป็นต้องดำเนินการสอบสวนเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจของตน โดยไม่ต้องไปหวั่นเกรงเรื่องใดๆอีกต่อไปโดยอาจมีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ถ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวกษัตริย์ เพราะได้เห็นพิรุธชัดเจนว่าฝ่ายราชวังได้รีบทำความสะอาดเพื่อลบร่องรอยพยานหลักฐานก่อนที่จะยอมให้ใครเข้าไปในห้องพระบรรทมที่เกิดเหตุ ส่วนปืนก็ได้ถูกนำมาวางไว้ข้างๆ และมีการจัดฉากสร้างกระแสให้เกิดความสะเทือนใจ และโกรธแค้น เพื่อโหมโจมตีนายกรัฐมนตรีปรีดีอย่างขนานใหญ่หลายระลอก  
  
ส่วนกษัตริย์ภูมิพลแสดงอาการรู้สึกหดหู่อย่างเห็นได้ชัดต่อการสวรรคตของพระเชษฐา กษัตริย์ภูมิพลดูเหมือนป่วยและซึมเศร้าตลอดเวลาไม่อยากพูดจา และเสด็จไปประทับยังเมืองโลว์ซานน์พร้อมพระชนนี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489 เพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลว์ซานน์ ถึงแม้ว่าการไว้ทุกข์ยังไม่ครบ100 วัน แต่พระองค์ยังคงมีอาการซึมเศร้าเสมอ นานๆครั้งจึงจะเข้าไปเรียนในห้องเรียน และไม่เคยเรียนจบปริญญาใดๆเลย ในปลายปี  2489 พระองค์ส่งข้อความว่า จะไม่เสด็จกลับกรุงเทพเพื่อร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพของในหลวงอานันท์ ดูเหมือนว่าพระองค์มีพระประสงค์จะประทับอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกเป็นเวลาสองถึงสามปี เพื่อที่จะได้สำเร็จการศึกษาของพระองค์ โดยไม่มีแนวโน้มเลยว่า จะสามารถไขปริศนาเบื้องหน้าเบื้องหลังให้กระจ่างแจ้งออกมาได้


มีแต่ภูมิพล ที่เป็นคนยิงรัชกาลที่ 8

ในขณะที่การสืบสวนกรณีสวรรคตได้เริ่มเข้มข้นขึ้นถึงจุดที่พุ่งเป้าไปยังกษัตริย์ภูมิพลว่าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ปลงพระชนม์รัชกาลที่ และต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ รัฐบาลกลัวว่าจะมีผลกระทบที่สั่นคลอนต่อเสถียรภาพในการเปิดเผยเรื่องราวนี้ออกมา และไม่ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติ 

จุมภฏพงษ์และมรว.พันธุ์ทิพย์
ขณะที่พวกเจ้าบางฝ่ายได้จัดเตรียมให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แทน รัฐบาลนายปรีดีได้ตัดสินใจเก็บข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวโยงถึงกษัตริย์ภูมิพลไว้เป็นความลับและทำการควบคุมการเสนอข่าวสารมิให้โยงใยไปถึงตัวกษัตริย์ภูมิพล ดังนั้น พวกนิยมระบอบเจ้าจึงต้องรีบทำการโค่นล้มรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 โดยร่วมมือกับกลุ่มคณะทหารของจอมพล ป  พิบูลสงคราม ใช้การโหมโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า นายปรีดี พยายามปกปิดซุกซ่อนหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับกรณีสวรรคต เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การยึดอำนาจของพวกเขา นายปรีดี พนมยงค์ได้หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง แล้วทำการกล่าวหาจับกุมมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนีพร้อมกันกับนายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขาธิการ  รัฐบาลนายควงที่มาจากการรัฐประหารได้กล่าวหาว่า พวกเขาร่วมกันวางแผนเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีนายปรีดีเป็นต้นคิดในการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ แต่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ซึ่งเป็นรัชทายาทของการสืบราชสมบัติ ได้แจ้งกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ เจฟฟรี่ย์ ทอมพ์สันว่ารัฐบุรุษอาวุโสไม่เคยมีส่วนรู้เห็นแต่ประการใดในเรื่องการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 8และที่สำคัญคือกรณีสวรรคตน่าจะเกิดจากที่พระอนุชาภูมิพลทำปืนลั่นโดยอุบัติเหตุ จึงต้องปกปิดเป็นความลับต่อไปอีกนานรวมทั้งการที่รัฐบาลต้องหาทางแก้ตัวให้กษัตริย์ภูมิพล รัฐบาลนายปรีดีต้องพยายามปกปิดข้อเท็จจริงแต่มันกลายเป็นว่าทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์กลับได้บาป

หลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์ ( 2444-2531)
ในเดือนกุมภาพันธ์  2491 พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน2490 จากเดือนสิงหาคม2489 จนถึงวันที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งจาก หลวงธำรงค์ได้กล่าวต่อเอกอัครราชทูตทอมพ์สันของอังกฤษอย่างหนักแน่นว่า กษัตริย์อานันทมหิดลได้ถูกยิงสวรรคตโดยกษัตริย์ภูมิพล โดยที่รัฐบาลของเขาไม่สามารถเปิดเผยข่าวนี้ได้ การสอบสวนที่ดำเนินการในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ได้ตัดเรื่องอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตายออกไป แต่สาธารณชนไม่ควรรับทราบสิ่งต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนได้ค้นพบ เนื่องจากเหตุผลของความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี นายกรัฐมนตรีหลวงธำรงได้มีคำสั่งห้ามทุกคนเปิดเผยข้อเท็จจริงตามสำนวนการสอบสวนโดยเด็ดขาด

Edwin F. Stanton
ในเดือนถัดมา หลวงธำรงค์ฯ ได้กล่าวอย่างชัดเจนยิ่งกว่าทุกๆ ครั้ง กับนายเอ๊ดวิน สแตนตั้น (Ambassador Edwin Stanton ) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในการดื่มน้ำชาร่วมกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2491 ที่สถานทูตสหรัฐ ว่ากรณีสวรรคตอันเศร้าสลดคงจะต้องเป็นความลับสุดยอดของประเทศไปแล้ว แม้ว่าหลักฐานต่างๆที่มีการรวบรวมกันในขณะที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น มีแนวโน้มที่จะพัวพันเชื่อมโยงมุ่งไปที่กษัตริย์ภูมิพลองค์ หลวงธำรงค์และนายปรีดีเองต่างก็อยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมปากแบบเดียวกัน เพราะถ้ามีการเปิดเผยว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เกี่ยวข้องกรณีสวรรคตอย่างแท้จริง เชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลคงจะต้องสละราชสมบัติ และคงเกิดเรื่องสับสนอลหม่านติดตามมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิตจะเป็นรัชทายาทผู้สืบราชสมบัติองค์ต่อไป แต่พระองค์เจ้าจุมภฏฯ และพระชายาไม่ได้รับความนิยม รัชทายาทองค์ต่อมาจากพระองค์เจ้าจุมภฏคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ก็ไม่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ขณะที่อำนาจของสถาบันกษัตริย์ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทย


ควง อภัยวงศ์ ( 2445 - 2511 )
ในเวลานั้น ได้เกิดความตื่นตระหนกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลปฏิเสธที่จะเสด็จกลับจากเมืองโลว์ซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และความกังวลใจเรื่องที่กษัตริย์ภูมิพลมีส่วนรู้เห็นในกรณีสวรรคต ซึ่งจะสั่นสะเทือนสถานภาพของพระองค์  ผู้นำของกลุ่มนิยมระบอบกษัตริย์รวมทั้งนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 
มรว.เสนีย์ ปราโมช ( 2448 -2540 )

และพี่น้องตระกูลปราโมชคือ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ และ หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ได้ร่วมกันวางแผนเตรียมการประกาศว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ โดยพวกเขาหวังว่าจะเป็นการบังคับให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชสมบัติเพื่อเปิดทางให้กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 
Kenneth Landon ( 2446- 2536)
นายเคนเนท แลนดอน ( Kenneth Landon ) ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งโทรเลขถึงกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่20 กุมภาพันธ์ 2491มีข้อความว่า...รายงานล่าสุดจากแหล่งข่าวหลายแห่ง ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ ส่งผลให้ นายควง เตรียมที่จะแถลงการณ์ว่า กษัตริย์ภูมิพลปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์โดยอุบัติเหตุ ซึ่งกษัตริย์ภูมิพลจะสละราชสมบัติ  ต่อจากนั้นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร จะได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป เนื่องจากพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูง รวมทั้งมีความมั่งคั่งอย่างมากด้วย พร้อมทั้งมีประสบการณ์อย่างยาวนานด้านการเมืองภายในวัง  แต่จอมพล ป พิบูลสงคราม ยืนกรานคัดค้านข้อเสนอของนายควงที่จะให้พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป แม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ด้วยความตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุก็ตาม จอมพลป.และนายปรีดีเป็นคู่ปรปักษ์หรือศัตรูทางการเมืองซึ่งสังกัดอยู่ในพรรคการเมืองเดียวกัน แม้ว่าเขาทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในการต่อต้านไม่ให้สถาบันกษัตริย์กลับคืนสู่อำนาจอีก แต่พวกเขาไม่ได้ต่อต้านกษัตริย์ภูมิพลเพราะว่าพระองค์ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและไม่มีบริวารห้อมล้อม จอมพล ป ซึ่งเป็นนายทหารผู้มีอิทธิพลมากของกองทัพ ได้รีบทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของนายควง ในเดือนเมษายน  2491  เพราะจอมพล ป. ต้องการให้กษัตริย์ภูมิพลครองราชบัลลังก์ต่อไป โดยจะใช้พยานหลักฐานในคดีสวรรคตมาต่อรองผลประโยชน์กับกษัตริย์ภูมิพลได้ในภายหลัง

เฉลียว บุศย์ และชิต ในศาล
การพิจารณาคดีการเสด็จสวรรคตของในหลวงอานันท์ได้เริ่มขึ้น ในตอนบ่ายของวันพุธที่ 
28กันยายน 2491 โดยมีมหาดเล็กสองคนคือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี รวมทั้งนายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งเป็นอดีตราชเลขาธิการ  ถูกกล่าวหาว่า สมคบกันทำการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์ การพิจารณาคดีและการอุทธรณ์ได้ถูกดึงให้ยืดเยื้อเป็นเวลามากกว่า 6 ปี
ในท้ายที่สุด กษัตริย์ภูมิพลได้เสด็จกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างเมื่อเดือนมีนาคม  
2493 เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพฯพระเชษฐาของพระองค์ และเข้าพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ รวมทั้งพิธีราชาภิเษกสมรสกับ มรว.หญิงสิริกิติ์ กิติยากร  แล้วพระองค์ก็เสด็จออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 6มิถุนายน 2493 ซึ่งเป็นเวลาเพียงสองสามวัน ก่อนที่จะครบรอบการเสด็จสวรรคตของพระเชษฐา  ต่อมาพระองค์จึงได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์เมื่อปลายปี  2494  กษัตริย์ภูมิพลทรงทราบดีว่า นายบุศย์ ปัทมศรินนายชิต สิงหเสนี และนายเฉลียว ปทุมรส ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เกี่ยวกับการปลงพระชนม์ของพระเชษฐาของพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่กระทำการใดๆ เพื่อช่วยชีวิตของพวกเขา  บุคคลทั้งสามได้ถูกประหารชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2498 ด้วยข้อหาอาชญากรรมที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำแต่อย่างใด


กษัตริย์ภูมิพลได้เปลี่ยนคำให้การของพระองค์เองหลายครั้ง ทั้งๆที่กษัตริย์ภูมิพลเคยยืนยันอย่างแข็งขันไม่กี่วันหลังจากที่พระเชษฐาสวรรคตว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่พระองค์กลับยกเลิกคำให้การเหล่านั้นในการพิจารณาคดีครั้งต่อมา โดยพระองค์หันไปเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลายเรื่อง ที่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือคือให้ร้ายนายเฉลียว ปทุมรส  กษัตริย์ภูมิพลได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ บีบีซี ซึ่งออกอากาศเมื่อปี 2523 โดยแก้ตัวว่า การคดีสวรรคตเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อน จากการอำพรางคดีโดยบุคคลหลายคนที่มีอำนาจมากทั้งในและต่างประเทศที่ไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง 


William Stevenson กับภูมิพล
ระหว่างปีทศวรรษ 2530 กษัตริย์ภูมิพลยังได้ให้นายวิลเลียม สตีเวนสัน ( William Stevenson นักเขียนชาวแคนาดา เขียนชีวประวัติกึ่งทางการโดยกษัตริย์ภูมิพลแต่งเรื่องว่านายมาซาโนบุ ซูจิ (Masanobu Tsuji )นายทหารที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นได้ลักลอบเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง โดยปลอมตัวเป็นพระภิกษุ 
Masanobu Tsuji ( 2444-2504 )
ทั้งๆที่นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กรุงเทพเลย ในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกปลงพระชนม์ การเปลี่ยนเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่าไปเรื่อยๆของกษัตริย์ภูมิพลเอง แสดงให้เห็นพิรุธว่า กษัตริย์ภูมิพลพยายามปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน  2489  โดยที่กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยให้คำอธิบายที่น่าเชื่้อถือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกเกี่ยวที่ภายในวงการระดับสูงของประเทศไทย กลับรับรู้กันมาตลอดว่า กษัตริย์ภูมิพลเองที่เป็นผู้ปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์ ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ 

บันทึกของนางมากาเร็ต แลนดอน
(
Margaret Landon) 



Margaret และ Kenneth Landon
นางมากาเร็ต แลนดอนเป็นภรรยาของนายเคนเนท แลนดอน (Kenneth Landon )นักการทูตสหรัฐอเมริกาเมื่อปี  2514 ได้เขียนบันทึกด้วยลายมือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตเก็บไว้ที่หอสมุดวิทยาลัยวีตั้น (Wheaton College ) สหรัฐอเมริกา  อ้างการสนทนากับนางลิเดีย ณ ระนอง ( Lydia Na Ranong ) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลผู้ดีของจีนและเป็นคนสนิทของกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงในกรุงเทพฯที่ได้เล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาจากแวดวงของพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ว่า มหาดเล็กทั้งสองคน คือ นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายชิต สิงหเสนี ได้รู้เห็นต่อการปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์

โดยที่อดีตราชเลขาธิการ คือ นายเฉลียว ปทุมรส มีความสัมพันธ์เป็นชู้สาวกับนางสังวาลย์ และอยู่ในห้องบรรทมของพระนางในขณะที่ในหลวงอานันท์ถูกยิงสวรรคต โดยพระนางสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระชนนีมาจากตระกูลสามัญชนและไม่เคยได้รับความชื่นชอบ จากกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่เลย  


วไลยอลงกรณ์ สว่างวัฒนาและมหิดล
พระนางเจ้าสว่างวัฒนาส่งเจ้าฟ้ามหิดลไปเรียนที่อเมริกา ได้ส่งเด็กสาวให้เป็นผู้ติดตามไปด้วยสองคนไปเรียนให้ดูเหมือนว่าไปเรียนด้วยกัน แต่ที่จริงแล้วก็ส่งไปเป็นเมียน้อยเพื่อประกบเจ้าฟ้ามหิดล เพราะพระนางสว่างวัฒนากลัวว่าเจ้าฟ้ามหิดลจะไปได้ผู้หญิงต่างชาติเป็นเมีย  
เจ้าฟ้ามหิดลกับนส.สังวาลย์
แต่เจ้าฟ้ามหิดลได้ตกหลุมรักกับนางสาวสังวาลย์และตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับเธอ ซึ่งได้สร้างความตกตะลึงในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างมาก โดยมีแนวโน้มว่าพระนางเจ้าสว่างวัฒนาและรัชกาลที่ คงยังคงปฎิเสธที่จะจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรส แต่เจ้าฟ้ามหิดลเองได้วางแผนให้เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นผู้ประกอบพิธีอภิเษกสมรสให้จนสำเร็จ แต่พระบรมวงศานุวงศ์ก็ยังแสดงความเกลียดชังต่อนางสังวาลย์ตลอดมา

ในตอนเช้าของวันที่ 
9 มิถุนายน 2489 ในหลวงอนันท์อานันท์ยังประชวรอยู่ โดยบรรทมอยู่บนเตียงพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาเล่น เจ้าฟ้าชายภูมิพลเสด็จเข้ามาข้างในห้องบรรทม ในหลวงอานันท์จับปืนขึ้นจ่อมาที่พระเศียรของเจ้าฟ้าภูมิพลและกล่าวว่า  ฉันสามารถฆ่าเธอได้  แต่เจ้าฟ้าภูมิพลก็แย่งปืนมาและยกปืนจ่อที่พระเศียรของในหลวงอานันท์ แล้วกล่าวว่า“ ฉันก็ฆ่าเธอได้เช่นกัน   ในหลวงอานันท์ ร้องว่า เหนี่ยวไกเลย  เหนี่ยวไกเลย 

พระอนุชาขึ้นเป็นกษัตริย์ภูมิพลหลังยิงพระเชษฐา
เจ้าฟ้าภูมิพลก็ทำตามนั้นและก็ได้สังหารหรือปลงพระชนม์ในหลวงอานันท์จริงๆ นางลิเดียเชื่อว่า การปลงพระชนม์เป็นอุบัติเหตุ และมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีการจัดการสะสางข้อเท็จจริงกันเลย เจ้าฟ้าภูมิพลตกใจจนลนลานและหวาดกลัวสุดขีด  หลังจากนั้น มหาดเล็กสองคนก็ต้องถูกประหารชีวิตเนื่องจาก ได้เห็นการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า   พระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า พระชนนีสังวาลย์ควรจะต้องยืนกรานที่จะเปิดเผยความจริงให้เป็นที่รับรู้กัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการสวรรคตเป็นเรื่องของอุบัติเหตุโดยแท้ มิใช่การฆาตกรรมหรือเจตนาปลงพระชนม์  และประชาชนควรได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น เจ้าฟ้าภูมิพลควรสละราชสมบัติไปเป็นพระภิกษุตลอดชีวิตและยินยอมให้ราชสมบัตินั้นเปลี่ยนผ่านไปยังสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นแทน วิธีการนี้จะเป็นวิถีทางที่น่ายกย่องซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุจริตใจ 

พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์

ฝ่ายพระบรมวงศานุวงศ์เชื่อว่า การสืบราชสมบัตินั้นจะถูกผ่านมายังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทั้งๆที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ได้ถูกกันออกไปแล้วตามพระประสงค์ของรัชกาลที่เนื่องจากว่า พระมารดาของพระองค์เป็นชาวรัสเซีย บุคคลที่น่าจะได้รับการเลือกให้สืบราชบัลลังก์ตามหลักแล้วน่าจะเป็นพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร แต่พระองค์ไม่มีพระโอรส และมีแต่เพียงพระธิดา ซึ่งสมรสกับผู้ชายชาวฝรั่งเศส นายปรีดี พนมยงค์ มีจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยจอม ป พิบูลสงคราม  1 ปีก่อนหน้าที่จอมพลแปลกจะถึงแก่อสัญกรรม โดยยอมรับสารภาพว่า ข้อกล่าวหาให้ร้ายนายปรีดีในกรณีสวรรคตล้วนเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น และตัวจอมพล ป.เอง ก็รู้ดีในเรื่องนี้
...................